Kop คิด Kop ทอล์ค : อีกเพียง 360 นาที
Kop คิด Kop ทอล์ค : อีกเพียง 360 นาที
สวััสดีครับ เพื่อนๆ เดอะค็อป ทุกคน ความจริงที่เป็นความฝันในคราเดียวกัน แม้ว่าเพิ่งผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งวันเต็มแต่รู้สึกเหมือนว่าคืนเมื่อวาน มันช่างยาวนานเหลอเกิน เวลาเพียงแค่ 90 นาทีเศษๆ ท่ามกลางแฟนบอลบนอัฒจรรย์ แอนด์ฟิลด์ ล้อมวงไปด้วยสีแดงฉานที่เฝ้ารอผู้เล่น 11 คนลงสู่พื้นสนาม ด้วยใจที่จดจ่ออย่างไม่ลดละ 24 ปีที่รอคอยกับคำว่า "แชมปพรีเมียร์ลีค" ความรู้สึกอันยาวนานใกล้จะเป็นความจริงเพียงแค่"กะพริบตา" และกำลังจะถูกปลดปล่อยในไม่ช้า เสมือนเดินก้าวผ่านทีละก้าว ทีละก้าว
ก่อนที่จะเริ่มเกมมีการยืนไว้อาลัยให้กับแฟนบอลของลิเวอร์พูลที่ต้องเสียชีวิต 96 ศพ ในวันที่ 15.04.1989 ในศึกเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศะหว่าง ลิเวอร์พูล และ นอตติงแฮม ฟอเรสต์ ที่ฮิลส์โบโร ของ เชฟฟิล เวนส์เดย์ เนื่องจากมีแฟนเข้ามาชมมากเกินกำหนดทำให้อัฐจรรย์พังลงมา
เริ่มเกมในครึ่งแรกได้เพียงแค่ 5 นาที ซัวเรสเบียดกระแทก กลิชี่ กระเด็นร่วงลงไปก่อนจ่ายบอลทะลุช่องให้กับ สเตอร์ริ่ง ที่วิ่ง ทะลุขึ้นมา ลอคหลบได้นิ่งมาเมื่ออยู่ต่อหน้า คอมปานี และ โจ ฮาร์ท ก่อนยิงเข้าไปแบบโล่ง เป็นลูกแรกที่ลดความกดดันทั้งผู้เล่นในสนามและกองเชียร์นอกสนามอย่างผม
ลิเวอร์พูลยังคงเปิดเกมบุกใส่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างต่อเนื่อง สเตอร์ริ่ง ปาดบอลเข้ามาในกรอบประตูให้กับ สเตอร์ริดจ์ที่รออยู่แปด้วยซ้ายออกไปแบบน่าเสียดาย หลังจากนั้นได้ไม่นาน เจอร์ราร์ด มีโอกาสโหม่งขึ้นทำประตูให้กับตัวเองในนาทีที่ 25 แต่ว่าไปตรงตัว โจ ฮาร์ทปัดออกไว้ได้ และนาทีเดียวกันนั่นเอง เจอร์ราร์ด เปิดมุมเข้ามาให้กับ สเคอร์เทลขึ้นโขกที่เสาแรกผ่าน โจ ฮาร์ท เข้าไป อย่างสวยงาม
ช่วงก่อนหมดเวลาเพียงไม่กีนาที แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีโอกาสทำประตูไล่ตีขึ้นมาบอลทำท่าจะเข้าประตูแต่ทว่าได้ สเตอร์ริ่ง มาโหม่งสกัดบอลออกไป และ เกือบจะได้ประตูจากกการยิงของ เฟอร์นันดิญโญ่ ที่ีล้มตัวยิงแต่ถูก มิโญเล่ เซฟเอาไว้ ทำให้จบครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ แมนเชสตเอร์ ซิตี้ 2-0 เล่นเอาแฟนบอลที่ตามเข้าไปเชียร์ในสนาม ต่างตะโกนร้องเพลงกึกก้องแอนด์ฟิลด์
แฟนบอลอาาจะคิดเหมือนผมว่ามันไม่ใช่เกมที่ยากอย่างที่คิดก่อนลงสนามเหมือนเป็นเกมที่ต้องเจอกับทีมที่แข็งแกร่งอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ....แถมเกมเริ่มไปได้ไม่นาน ก็ต้องมาเสีย ยายา ตูเร่ แดนกลางห้องเครื่อง ทำให้เกมนี้ดูน่าจะง่ายขึ้นจบครึ่งแรกมีสกอร์
"ครึ่งหลังหนังคนละม้วน" เมื่อสภาวะกดดันตกไปอยู่ที่ ลิเวอร์พูล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดเกมเข้าใส่ การเปลี่ยนตัวของ "เปรเญกินี่" ที่ส่ง มิลเนอร์ เข้าสู่สนามทำให้เกมรุกนั้นดูไหลลื่นขึ้นทางด้านริมเส้น จนมาในนาทีที่ 56 ลิเวอร์พูลไม่อาจหยุดยั้งแนวรุกเอาไว้ได้ บอลถูกเปิดมาโล่งให้กับ ซิลบา ที่ยืนโล่งๆอยู่หน้าประตูแปบอลเข้าไปสู่ก้นตาข่ายอย่างสวยงาม ลูกนี้เหมือนเป็นการปลดความกดดันของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ถูกขึ้นนนำ 2-0 ในช่วงครึ่งแรก และแน่นอนว่า ความกดดันต้องตกมาอยู่ที่ผู้เล่น ลิเวอร์พูล ที่ขึ้นนำก่อน 2-0 อยากที่จะพยายามรักษาสกอร์นี้ไว้เพื่อชัยชนะ
อีกเพียงไม่ถึง 5 นาทีแนวรับเริ่มระส่ำระส่าย กุน เปิดบอลให้กับ ซิลบา แต่แหย่บอลโดนแค่ปลายขาลูกบอลผ่านหน้าประตูไป วินาทีที่หวาดเสียวถูกกรีดร้องด้วยแฟนบอล ทั้งสองทีม ท่ามกลางความร้อนระอุทั้งในและนอกสนาม ลิเวอร์พูลมีโอกาสขึ้นมาบ้าง จากการโต้กลับของ ซัวเรส แตะบอลให้กับ สเตอร์ริดจ์ และ วิ่งทำทางหาพื้นที่ว่าง เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่บอลที่ส่งไปนั้นไม่ถูกคืนกลับมา และพลาดโอกาสลงอย่างน่าเสียดาย
หลายครั้งที่เรามีโอกาส แต่กลับต้องสูญเสียโอกาสเพราะการเล่นส่วนตัว ไม่ใช่เพียงแค่นัดนี้เท่านั้น ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่ดีที่มีกองหน้าทักษะ และการเข้าทำประตูที่ดี ...... แต่ความเห็นแก่ตัวในบางครั้งที่ใช้ทักษะเข้าไปทำเอง และทำให้ต้องสูญเสียโอกาสที่ดีกว่าให้กับเพื่อนร่วมทีม เพราะหลังจากนั้นได้ไม่นาน ลิเวอร์พูลก็มาเสียประตูที่ 2 ให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บอลแฉลบขา จอห์นสัน ก่อนที่จะมาโดนขา มิโญเล่ บอลไหลเข้าประตูไปเล่นเอาแฟนบอล เดอะค็อป ช็อคกันไปทั่ว....
หลายคนเชื่อได้เลยว่าออกอาการเซ็งกันเป็นแถว เกือบจะได้ประตูในคราเดียวกัน โดนบุกกลับมาอีกทีเสียประตูทำเอาสมาธิแตกกระเจิงกันเลย ..... และนั่นมันเหมือนเป็นบททดสอบอย่างหนึ่งที่ว่า ในขณะที่อยู่ในสถานการณ์ "กดดัน" แบบนี้ ผู้เล่นจะก้าวผ่านมันไปได้หรือไม่ และ "ร็อดเจอร์ส" จะใช้วิธียังไงเรียกเกมที่ได้เปรียบกลับมา
ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม สาเหตุี่ที่ สเตอร์รดจ์ถูกเปลี่ยนตัวออก อาจจะบาดเจ็บหรือไม่ก็ตามแต่ผมคนนึงล่ะ อยากให้ ร็อดเจอร์ ขยับ ซัวเรส มาเล่น เป็นหน้าเป้าเพราะหลายจังหวะที่ทั้งคู่ต่างที่จะเลือกเล่นไปกับบอลมากกว่าเพื่อนร่วมทีม การเก็บศูนย์หน้าไว้เพียงคนเดียวอาจจะเป็นดีขึ้นก็เป็นได้ ....อัลเลน ถูกเปลี่ยนลงมาแทนและขยับ คูติญโญ่ ออกมาทางด้านข้าง
แม้สถานการณ์จะถูกกดดันแต่ก็ไม่ได้ทำให้ ลิเวอร์สูญเสียเกมรุกลงไป(ก่อนที่จะมาเขียนในวันนี้ผมบอกกับตัวเองว่า หาก ลิเวอร์พูลขึ้นนำ 3-2 เมื่อไหร่ ผมจะเขียนอะไรก็ได้สักเรื่องหนึ่งสำหรับเกมเมื่อคืน) ทันใดนั้นเหมือนฝันเป็นจริง ใครจะไปคิดกันละครับว่า กองหลังอย่าง "คอมปานี" เตะวืดบอลแฉลบมาเข้าทางของ คูติญโญ่ ....ลองยิงมาหลายครั้งหลายครา เหมือนดั่งผีจับหยัดลูกปั่นเข้าประตูไปอย่างสวยงาม....
อารมณ์ที่ถูกสะกดถูกปลดปล่อยออกมา เรามีการเล่นที่ดีแต่บางครั้งเราก็ต้องอาศัยโชคเล็กน้อยสำหรับการแข่งขัน ผู้ช่วยผู้ตัดสินชูป้่ายทดเวลา 5 นาที สำหรับผม อยากให้ทดเป็น 6 นาที จะได้เป็นเวลาที่น่าจดจำ "96" ให้กับผู้สูญเสีย(แต่ใจจริงอยากให้เป่าหมดตั้งแต่ขึ้นนำเลยด้วยซ้ำ)
90 นาทีแต่มีอารมณ์หลายๆอย่าง ดราม่ายิ่งกว่านั่งดูละครหักมุมซะอีก คนที่ถูกกล้องจับเป็นพิเศษคงไม่พ้น "กัปตันเจอร์ีราร์ด" ความปลื้มปีติที่เอ่อล้น ไม่สามารถสกัดกั้นจนต้องหลั่งน้ำตาออกมา.....
หากในสนาม ใครจะมีความรู้สึกเกี่ยวกับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่ สนาม ฮิลล์โบโร ได้เป็นอย่างดีคงไม่พ้น เจอร์ราร์ด ผู้เสียชีวิตจำนวน 96 รายนั้น จอน-พอล กิลฮูเลย์ ลูกพี่ลูกน้องเป็นหนึ่งในแฟนบอลที่เสียชีวิตในครั้งนั้นด้วย
หากในสนาม ใครจะมีความรู้สึกในชัยชนะแต่ละเกมได้เป็นอย่างดีคงไม่พ้นกัปตันทีมผู้นี้ ลิเวอร์พูลเข้าใกล้แชมป์พรีเมียร์ลีคมากที่สุดก็ในปี 2008-2009 มีคะแนนตามหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4 คะแนน ทำแต้มหายหนักไปทางเสมออย่างน่าเสียดาย
"เหมือนเป็นอดีตที่ถูกจองจำรอวันปลดปล่อยจากพันธนาการ" ความดีใจปนน้ำตาของกัปตันแฟนบอลหลายๆคนคงตระหนักดีหรอกว่า ... "แชมป์พรีเมียร์ลีค" มีความสำคัญต่อเขามากเพียงใด และการที่เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่กำลังขับเคี่ยวอยู่ในตอนนี้ช่างมีความหมายมากเหลือเกิน
ผมก็อาจจะไม่แตกต่างจากคนอื่น เพื่อนๆแม้แต่คนรอบข้างที่เีชียรบอลมาด้วยกัน....ต่างก็อยากให้ผมได้สัมผัสถ้วยพรีเมียร์ลีคบ้าง ฮาาาาา เห็นเชียร์มานานมันก็ลุ้นเอาใจช่วยไม่ว่าจะแฟน เชลซี อาร์เซน่อล หรือคู่อริอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็อยากให้แฟนบอล ลิเวอร์พูลอย่างผมได้มีโอกาสเชยชมกับเขาบ้าง ถึงแม้ว่าจะจริงใจ หรือ เป็นการหยอกล้อเล่นก็ตาม...ถ้าหากมันเป็นแบบนั้นจริงกระผมก็ขอรับไว้อย่างยินดี...
ร็อดเจอร์ผู้ปลดปล่อย ทุกๆอย่างเพียงแค่ 2 ฤดูกาล เหมือนดั่งเวทมนต์ที่เสกขึ้นมาได้ ด้วยผู้เล่นที่ไม่ได้แตกต่างจากฤดูกาลก่อนมากนัก...แต่เขาดลบันดาลในสิ่งต่างๆมากมาย "Red Machine" อดีตทีม ลิเวอร์พูลเคยถูกกล่าวขานไว้แบบนั้น .... มันยาวนานและกำลังจะผ่านไปโดยที่ไม่รู้ตัว
"360 องศา"ที่พร้อมจะหมุนรอบตัวเอง........เพื่อมองดูความเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมา และอีก "360 นาทีสุดท้าย" ที่พร้อมจะก้าวไปกับความฝันที่กำลังเป็นจะเปจริง ทุกสิ่งทุกอย่างถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันจนเป็นเนื้อด้วยกัน ........เราจะจับมือและกอดคอไปด้วยกัน 4 นัด กับ 360 นาทีสุดท้าย
Make Us Dream.....Le's Go!!! เราจะผ่านมันไปด้วย You'll Never Walk Alone